TH/Prabhupada 1063 - ให้พวกเราได้หลุดพ้นจากกรรม และผลของกรรม ของกิจกรรมทั้งหมด: Difference between revisions
Visnu Murti (talk | contribs) (Created page with "<!-- BEGIN CATEGORY LIST --> Category:1080 Thai Pages with Videos Category:Prabhupada 1063 - in all Languages Category:TH-Quotes - 1966 Category:TH-Quotes - Lect...") |
(Vanibot #0023: VideoLocalizer - changed YouTube player to show hard-coded subtitles version) |
||
Line 10: | Line 10: | ||
[[Category:Thai Language]] | [[Category:Thai Language]] | ||
<!-- END CATEGORY LIST --> | <!-- END CATEGORY LIST --> | ||
<!-- BEGIN NAVIGATION BAR -- DO NOT EDIT OR REMOVE --> | |||
{{1080 videos navigation - All Languages|Thai|TH/Prabhupada 1062 - พวกเรามีแนวโน้มของการควบคุมธรรมชาติวัตถุ|1062|TH/Prabhupada 1064 - พระเจ้าทรงประทับอยู่ภายในหัวใจของทุกๆชีวิต|1064}} | |||
<!-- END NAVIGATION BAR --> | |||
<!-- BEGIN ORIGINAL VANIQUOTES PAGE LINK--> | <!-- BEGIN ORIGINAL VANIQUOTES PAGE LINK--> | ||
<div class="center"> | <div class="center"> | ||
Line 18: | Line 21: | ||
<!-- BEGIN VIDEO LINK --> | <!-- BEGIN VIDEO LINK --> | ||
{{youtube_right| | {{youtube_right|-7RUGXfB1CU|ให้พวกเราได้หลุดพ้นจากกรรม และผลของกรรม ของกิจกรรมทั้งหมด<br />- Prabhupāda 1063}} | ||
<!-- END VIDEO LINK --> | <!-- END VIDEO LINK --> | ||
<!-- BEGIN AUDIO LINK --> | <!-- BEGIN AUDIO LINK --> | ||
<mp3player> | <mp3player>https://s3.amazonaws.com/vanipedia/clip/660219BG-NEW_YORK_clip07.mp3</mp3player> | ||
<!-- END AUDIO LINK --> | <!-- END AUDIO LINK --> | ||
Line 30: | Line 33: | ||
<!-- BEGIN TRANSLATED TEXT --> | <!-- BEGIN TRANSLATED TEXT --> | ||
เช่นเดียวกับในชีวิตปัจจุบันนี้เหมือนกัน พวกเราเพลิดเพลินกับกิจกรรมและผลของกิจกรรมทั้งหลายของพวกเรา สมมุติว่าอาตมาเป็นนักธุรกิจคนหนึ่ง และ อาตมาทำงานอย่างขยันขันแข็งมากด้วยปัญญา และอาตมาสั่งสมเงินมากมายในธนาคาร เช่นนนี้อาตมาเป็นผู้มีความสุขเกษมสำราญ ในทำนองเดียวกัน สมมุติว่าอาตมาเริ่มต้นทำธุรกิจด้วยจำนวนเงินที่มากมาย แต่อาตมาไม่สามารถทำให้มันประสบความสำเร็จได้ อาตมาได้สูญเสียเงินทั้งหมด ดังนั้นอาตมาเป็นผู้ทุกข์ทรมาน ดั้งนั้นในทำนองเดียวกันในทุกๆ ด้านของชีวิตของพวกเราได้รับความสุขหรือความทุกข์จากผลงานของพวกเรา เช่นนี้เรียกว่า คารมะ หรือ กรรม ดังนั้นสิ่งเหล่านี้ อีชวะระ, จีวะ, พระคริทิ หรือบุคลิกภาพแห่งพระเจ้าสูงสุด, หรือ สิ่งมีชีวิตทั้งหลาย, ธรรมชาติวัตถุ กาลเวลาที่นิรันดร์และกิจกรรมที่แตกต่างกันของพวกเรา สิ่งเหล่านี้ได้อธิบายไว้ใน ภควัต-คีตา ตอนนี้ นอกเหนือจากห้าสิ่งนี้ พระเจ้า สิ่งมีชีวิตต่างๆ และ ธรรมชาติวัตถุ และ กาลเวลา ทั้งสี่อย่างนี้เป็นนิรันดร์ ตอนนี้ ปรากฎการณ์ของ พระคริทิ อาจเป็นการชั่วคราว แต่ว่าไม่ผิด นักปราชญ์บางท่านกล่าวว่าปรากฎการณ์ของธรรมชาติวัตถุน้ันผิด แต่ตามปรัชญาของ ภควัต-คีตา หรือตามปรัชญาของ ไวชณะวะ พวกเขาไม่ได้ยอมรับว่าปรากฎการณ์ของโลกนั้นผิด พวกเขายอมรับว่าปรากฎการณ์คือความจริงแต่ว่าไม่ถาวร มันก็คล้ายๆ กับก้อนเมฆที่เคลื่อนผ่านท้องฟ้าไป และ ฝนที่ตกตามฤดูกาลเริ่มต้นชึ้น และหลังจากฝนที่ตกตามฤดูได้มีพืชพันธ์ธัญญาหารสีเขียวขึ้นใหม่ทั่วท้องทุ่ง พวกเราสามารถเห็นได้ และทันทีที่ฤดูฝนผ่านไป ก้อนเมฆก็ถูกพัดพาหายไป โดยทั่วไปแล้วพืชผักทั้งหมดนี้ ก็จะค่อย ๆ แห้งลง และ ผืนดินก็กลายเป็นแห้งแล้งอีกครั้ง ในทำนองเดียวกันปรากฎการณ์ทางวัตถุนี้ ก็จะเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาหนึ่ง พวกเราจะเข้าใจมัน พวกเราจะรู้จักมัน จากหน้าทั้งหลายของภัควัต-คีตา บฮูทวา บฮูทวา พระลียะเท ([[Vanisource:BG 8.19|ภัควัต-คีตา 8.19]]) ปรากฎการณ์นี้จะกลายมาเป็นความงดงามในช่วงระยะเวลาหนึ่ง และ มันก็จะหายไปอีกครั้งหนึ่ง นั่นคือการทำงานของ พระคริทิ แต่มันคือการทำงานนิรันดร์ ดังนั้น พระคริทิ จึงเป็นนิจนิรันดร์ มันไม่ได้ผิด เพราะว่าพระเจ้าทรงยอมรับแล้ว, มะมะ พระคริทิ, "พระคริทิ ของเรา" อะพะเรยัม อิทัส ทู วิดธิ เม พระคริทิม พะราม ([[Vanisource:BG 7.5|ภัควัต-คีตา 7.5]]) บฮินา พระคริทิ, บฮินา พระคริทิ, อะพะระ พระคริทิ ธรรมชาติวัตถุนี้คือ พลังงานที่แยกออกมาของพระเจ้าสูงสุด และ สิ่งมีชีวิตทั้งหลาย พวกเขาก็คือพลังงานของพระเจ้าเช่นกัน แต่พวกเขาไม่ได้แยกจากกัน แต่มีความสัมพันธ์ต่อกันชั่วกัลปวสาน ดังนั้นพระเจ้า, สิ่งมีชีวิตทั้งหลาย, ธรรมชาติวัตถุ และ กาลเวลา พวกเขาทั้งหลายเป็นนิรันดร์ อย่างไรก็ดี มีอีกอย่างหนึ่งคือ คารมะ หรือ กรรม ไม่เป็นนิรันดร์ ผลของกรรมหรือกิจกรรม อาจจะนานมากแล้ว พวกเราได้รับความทุกข์ หรือ ความสุขจากผลของการกระทำของกิจกรรมของเราตั้งแต่อดีตโบราณกาลจนจำไม่ได้ แต่พวกเรายังคงสามารถเปลี่ยนผลของกรรม หรือ กิจกรรมของพวกเราได้ นั่นขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของความรู้ของพวกเราเอง พวกเรามีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ มากมาย อย่างไม่ต้องสงสัยเลย แต่พวกเราไม่รู้เลยว่ากิจกรรมแบบไหนที่พวกเราควรปฎิบัติ กิจกรรมนั้นที่จะทำให้พวกเราได้รับความหลุดพ้นจากกรรม และ ผลของกรรม ของกิจกรรมทั้งหมด สิ่งนั้นก็ได้อธิบายไว้ใน ภัควัต-คีตา ตอนนี้ตำแหน่งของ อีชวะระ คือ จิตสำนึกสูงสุด ตำแหน่งของอีชวะระ หรือ พระเจ้าสูงสุด คือ จิตสำนึกสูงสุด และ จีวะ ทั้งหลาย หรือ สิ่งมีชีวิตทั้งหลาย เป็นละอองเล็ก ๆ ของบุคลิกภาพแห่งพระเจ้า พวกเขาก็มีจิตสำนึกด้วยเช่นกัน สิ่งมีชีวิตสิ่งหนึ่งก็มีจิตสำนึกด้วยเช่นกัน สิ่งมีชีวิตได้อธิบายไว้แล้ว คือ พระคริทิ, พลังงาน, และ คือ ธรรมชาติวัตถุ ก็ได้อธิบายไว้แล้วเช่นกันว่า คือ พระคริทิ, แต่ในระหว่างสองสิ่ง, พระคริทิ หนึ่ง, จีวะ พวกเขาทั้งหลายมีจิตสำนึก อีก พระคริทิ หนึ่ง คือ ไม่มีจิตสำนึก นั่นคือความแตกต่าง เนื่องจาก จีวะ พระคริทิ ถูกเรียกว่าสูงกว่า เพราะว่า จีวะ มีจิตสำนึกคล้ายกับพระเจ้า พระเจ้าทรงมีจิตสำนึกสูงสุด คนคนหนึ่งไม่ควรอ้างว่าจีวะ หรือ สิ่งมีชีวิตมีจิตสำนึกสูงสุดเช่นเดียวกัน ไม่ สิ่งมีชีวิตไม่สามารถมีจิตสำนึกสูงสุดได้ ไม่ว่าจะมีความสมบูรณ์บริบูรณ์ในระดับใน นี่เป็นทฤษฎีที่นำไปในทางที่ผิด นี่เป็นพฤษฎีที่นำไปในทางที่ผิด แต่เขามีจิตสำนึก นั่นคือทั้งหมด แต่ว่าเขาไม่ได้มีจิตสำนึกสูงสุด | เช่นเดียวกับในชีวิตปัจจุบันนี้เหมือนกัน พวกเราเพลิดเพลินกับกิจกรรมและผลของกิจกรรมทั้งหลายของพวกเรา สมมุติว่าอาตมาเป็นนักธุรกิจคนหนึ่ง และ อาตมาทำงานอย่างขยันขันแข็งมากด้วยปัญญา และอาตมาสั่งสมเงินมากมายในธนาคาร เช่นนนี้อาตมาเป็นผู้มีความสุขเกษมสำราญ ในทำนองเดียวกัน สมมุติว่าอาตมาเริ่มต้นทำธุรกิจด้วยจำนวนเงินที่มากมาย แต่อาตมาไม่สามารถทำให้มันประสบความสำเร็จได้ อาตมาได้สูญเสียเงินทั้งหมด ดังนั้นอาตมาเป็นผู้ทุกข์ทรมาน ดั้งนั้นในทำนองเดียวกันในทุกๆ ด้านของชีวิตของพวกเราได้รับความสุขหรือความทุกข์จากผลงานของพวกเรา เช่นนี้เรียกว่า คารมะ หรือ กรรม ดังนั้นสิ่งเหล่านี้ อีชวะระ, จีวะ, พระคริทิ หรือบุคลิกภาพแห่งพระเจ้าสูงสุด, หรือ สิ่งมีชีวิตทั้งหลาย, ธรรมชาติวัตถุ กาลเวลาที่นิรันดร์และกิจกรรมที่แตกต่างกันของพวกเรา สิ่งเหล่านี้ได้อธิบายไว้ใน ภควัต-คีตา ตอนนี้ นอกเหนือจากห้าสิ่งนี้ พระเจ้า สิ่งมีชีวิตต่างๆ และ ธรรมชาติวัตถุ และ กาลเวลา ทั้งสี่อย่างนี้เป็นนิรันดร์ ตอนนี้ ปรากฎการณ์ของ พระคริทิ อาจเป็นการชั่วคราว แต่ว่าไม่ผิด นักปราชญ์บางท่านกล่าวว่าปรากฎการณ์ของธรรมชาติวัตถุน้ันผิด แต่ตามปรัชญาของ ภควัต-คีตา หรือตามปรัชญาของ ไวชณะวะ พวกเขาไม่ได้ยอมรับว่าปรากฎการณ์ของโลกนั้นผิด พวกเขายอมรับว่าปรากฎการณ์คือความจริงแต่ว่าไม่ถาวร มันก็คล้ายๆ กับก้อนเมฆที่เคลื่อนผ่านท้องฟ้าไป และ ฝนที่ตกตามฤดูกาลเริ่มต้นชึ้น และหลังจากฝนที่ตกตามฤดูได้มีพืชพันธ์ธัญญาหารสีเขียวขึ้นใหม่ทั่วท้องทุ่ง พวกเราสามารถเห็นได้ และทันทีที่ฤดูฝนผ่านไป ก้อนเมฆก็ถูกพัดพาหายไป โดยทั่วไปแล้วพืชผักทั้งหมดนี้ ก็จะค่อย ๆ แห้งลง และ ผืนดินก็กลายเป็นแห้งแล้งอีกครั้ง ในทำนองเดียวกันปรากฎการณ์ทางวัตถุนี้ ก็จะเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาหนึ่ง พวกเราจะเข้าใจมัน พวกเราจะรู้จักมัน จากหน้าทั้งหลายของภัควัต-คีตา บฮูทวา บฮูทวา พระลียะเท ([[Vanisource:BG 8.19 (1972)|ภัควัต-คีตา 8.19]]) ปรากฎการณ์นี้จะกลายมาเป็นความงดงามในช่วงระยะเวลาหนึ่ง และ มันก็จะหายไปอีกครั้งหนึ่ง นั่นคือการทำงานของ พระคริทิ แต่มันคือการทำงานนิรันดร์ ดังนั้น พระคริทิ จึงเป็นนิจนิรันดร์ มันไม่ได้ผิด เพราะว่าพระเจ้าทรงยอมรับแล้ว, มะมะ พระคริทิ, "พระคริทิ ของเรา" อะพะเรยัม อิทัส ทู วิดธิ เม พระคริทิม พะราม ([[Vanisource:BG 7.5 (1972)|ภัควัต-คีตา 7.5]]) บฮินา พระคริทิ, บฮินา พระคริทิ, อะพะระ พระคริทิ ธรรมชาติวัตถุนี้คือ พลังงานที่แยกออกมาของพระเจ้าสูงสุด และ สิ่งมีชีวิตทั้งหลาย พวกเขาก็คือพลังงานของพระเจ้าเช่นกัน แต่พวกเขาไม่ได้แยกจากกัน แต่มีความสัมพันธ์ต่อกันชั่วกัลปวสาน ดังนั้นพระเจ้า, สิ่งมีชีวิตทั้งหลาย, ธรรมชาติวัตถุ และ กาลเวลา พวกเขาทั้งหลายเป็นนิรันดร์ อย่างไรก็ดี มีอีกอย่างหนึ่งคือ คารมะ หรือ กรรม ไม่เป็นนิรันดร์ ผลของกรรมหรือกิจกรรม อาจจะนานมากแล้ว พวกเราได้รับความทุกข์ หรือ ความสุขจากผลของการกระทำของกิจกรรมของเราตั้งแต่อดีตโบราณกาลจนจำไม่ได้ แต่พวกเรายังคงสามารถเปลี่ยนผลของกรรม หรือ กิจกรรมของพวกเราได้ นั่นขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของความรู้ของพวกเราเอง พวกเรามีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ มากมาย อย่างไม่ต้องสงสัยเลย แต่พวกเราไม่รู้เลยว่ากิจกรรมแบบไหนที่พวกเราควรปฎิบัติ กิจกรรมนั้นที่จะทำให้พวกเราได้รับความหลุดพ้นจากกรรม และ ผลของกรรม ของกิจกรรมทั้งหมด สิ่งนั้นก็ได้อธิบายไว้ใน ภัควัต-คีตา ตอนนี้ตำแหน่งของ อีชวะระ คือ จิตสำนึกสูงสุด ตำแหน่งของอีชวะระ หรือ พระเจ้าสูงสุด คือ จิตสำนึกสูงสุด และ จีวะ ทั้งหลาย หรือ สิ่งมีชีวิตทั้งหลาย เป็นละอองเล็ก ๆ ของบุคลิกภาพแห่งพระเจ้า พวกเขาก็มีจิตสำนึกด้วยเช่นกัน สิ่งมีชีวิตสิ่งหนึ่งก็มีจิตสำนึกด้วยเช่นกัน สิ่งมีชีวิตได้อธิบายไว้แล้ว คือ พระคริทิ, พลังงาน, และ คือ ธรรมชาติวัตถุ ก็ได้อธิบายไว้แล้วเช่นกันว่า คือ พระคริทิ, แต่ในระหว่างสองสิ่ง, พระคริทิ หนึ่ง, จีวะ พวกเขาทั้งหลายมีจิตสำนึก อีก พระคริทิ หนึ่ง คือ ไม่มีจิตสำนึก นั่นคือความแตกต่าง เนื่องจาก จีวะ พระคริทิ ถูกเรียกว่าสูงกว่า เพราะว่า จีวะ มีจิตสำนึกคล้ายกับพระเจ้า พระเจ้าทรงมีจิตสำนึกสูงสุด คนคนหนึ่งไม่ควรอ้างว่าจีวะ หรือ สิ่งมีชีวิตมีจิตสำนึกสูงสุดเช่นเดียวกัน ไม่ สิ่งมีชีวิตไม่สามารถมีจิตสำนึกสูงสุดได้ ไม่ว่าจะมีความสมบูรณ์บริบูรณ์ในระดับใน นี่เป็นทฤษฎีที่นำไปในทางที่ผิด นี่เป็นพฤษฎีที่นำไปในทางที่ผิด แต่เขามีจิตสำนึก นั่นคือทั้งหมด แต่ว่าเขาไม่ได้มีจิตสำนึกสูงสุด | ||
<!-- END TRANSLATED TEXT --> | <!-- END TRANSLATED TEXT --> |
Latest revision as of 20:56, 23 October 2018
660219-20 - Lecture BG Introduction - New York
เช่นเดียวกับในชีวิตปัจจุบันนี้เหมือนกัน พวกเราเพลิดเพลินกับกิจกรรมและผลของกิจกรรมทั้งหลายของพวกเรา สมมุติว่าอาตมาเป็นนักธุรกิจคนหนึ่ง และ อาตมาทำงานอย่างขยันขันแข็งมากด้วยปัญญา และอาตมาสั่งสมเงินมากมายในธนาคาร เช่นนนี้อาตมาเป็นผู้มีความสุขเกษมสำราญ ในทำนองเดียวกัน สมมุติว่าอาตมาเริ่มต้นทำธุรกิจด้วยจำนวนเงินที่มากมาย แต่อาตมาไม่สามารถทำให้มันประสบความสำเร็จได้ อาตมาได้สูญเสียเงินทั้งหมด ดังนั้นอาตมาเป็นผู้ทุกข์ทรมาน ดั้งนั้นในทำนองเดียวกันในทุกๆ ด้านของชีวิตของพวกเราได้รับความสุขหรือความทุกข์จากผลงานของพวกเรา เช่นนี้เรียกว่า คารมะ หรือ กรรม ดังนั้นสิ่งเหล่านี้ อีชวะระ, จีวะ, พระคริทิ หรือบุคลิกภาพแห่งพระเจ้าสูงสุด, หรือ สิ่งมีชีวิตทั้งหลาย, ธรรมชาติวัตถุ กาลเวลาที่นิรันดร์และกิจกรรมที่แตกต่างกันของพวกเรา สิ่งเหล่านี้ได้อธิบายไว้ใน ภควัต-คีตา ตอนนี้ นอกเหนือจากห้าสิ่งนี้ พระเจ้า สิ่งมีชีวิตต่างๆ และ ธรรมชาติวัตถุ และ กาลเวลา ทั้งสี่อย่างนี้เป็นนิรันดร์ ตอนนี้ ปรากฎการณ์ของ พระคริทิ อาจเป็นการชั่วคราว แต่ว่าไม่ผิด นักปราชญ์บางท่านกล่าวว่าปรากฎการณ์ของธรรมชาติวัตถุน้ันผิด แต่ตามปรัชญาของ ภควัต-คีตา หรือตามปรัชญาของ ไวชณะวะ พวกเขาไม่ได้ยอมรับว่าปรากฎการณ์ของโลกนั้นผิด พวกเขายอมรับว่าปรากฎการณ์คือความจริงแต่ว่าไม่ถาวร มันก็คล้ายๆ กับก้อนเมฆที่เคลื่อนผ่านท้องฟ้าไป และ ฝนที่ตกตามฤดูกาลเริ่มต้นชึ้น และหลังจากฝนที่ตกตามฤดูได้มีพืชพันธ์ธัญญาหารสีเขียวขึ้นใหม่ทั่วท้องทุ่ง พวกเราสามารถเห็นได้ และทันทีที่ฤดูฝนผ่านไป ก้อนเมฆก็ถูกพัดพาหายไป โดยทั่วไปแล้วพืชผักทั้งหมดนี้ ก็จะค่อย ๆ แห้งลง และ ผืนดินก็กลายเป็นแห้งแล้งอีกครั้ง ในทำนองเดียวกันปรากฎการณ์ทางวัตถุนี้ ก็จะเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาหนึ่ง พวกเราจะเข้าใจมัน พวกเราจะรู้จักมัน จากหน้าทั้งหลายของภัควัต-คีตา บฮูทวา บฮูทวา พระลียะเท (ภัควัต-คีตา 8.19) ปรากฎการณ์นี้จะกลายมาเป็นความงดงามในช่วงระยะเวลาหนึ่ง และ มันก็จะหายไปอีกครั้งหนึ่ง นั่นคือการทำงานของ พระคริทิ แต่มันคือการทำงานนิรันดร์ ดังนั้น พระคริทิ จึงเป็นนิจนิรันดร์ มันไม่ได้ผิด เพราะว่าพระเจ้าทรงยอมรับแล้ว, มะมะ พระคริทิ, "พระคริทิ ของเรา" อะพะเรยัม อิทัส ทู วิดธิ เม พระคริทิม พะราม (ภัควัต-คีตา 7.5) บฮินา พระคริทิ, บฮินา พระคริทิ, อะพะระ พระคริทิ ธรรมชาติวัตถุนี้คือ พลังงานที่แยกออกมาของพระเจ้าสูงสุด และ สิ่งมีชีวิตทั้งหลาย พวกเขาก็คือพลังงานของพระเจ้าเช่นกัน แต่พวกเขาไม่ได้แยกจากกัน แต่มีความสัมพันธ์ต่อกันชั่วกัลปวสาน ดังนั้นพระเจ้า, สิ่งมีชีวิตทั้งหลาย, ธรรมชาติวัตถุ และ กาลเวลา พวกเขาทั้งหลายเป็นนิรันดร์ อย่างไรก็ดี มีอีกอย่างหนึ่งคือ คารมะ หรือ กรรม ไม่เป็นนิรันดร์ ผลของกรรมหรือกิจกรรม อาจจะนานมากแล้ว พวกเราได้รับความทุกข์ หรือ ความสุขจากผลของการกระทำของกิจกรรมของเราตั้งแต่อดีตโบราณกาลจนจำไม่ได้ แต่พวกเรายังคงสามารถเปลี่ยนผลของกรรม หรือ กิจกรรมของพวกเราได้ นั่นขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของความรู้ของพวกเราเอง พวกเรามีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ มากมาย อย่างไม่ต้องสงสัยเลย แต่พวกเราไม่รู้เลยว่ากิจกรรมแบบไหนที่พวกเราควรปฎิบัติ กิจกรรมนั้นที่จะทำให้พวกเราได้รับความหลุดพ้นจากกรรม และ ผลของกรรม ของกิจกรรมทั้งหมด สิ่งนั้นก็ได้อธิบายไว้ใน ภัควัต-คีตา ตอนนี้ตำแหน่งของ อีชวะระ คือ จิตสำนึกสูงสุด ตำแหน่งของอีชวะระ หรือ พระเจ้าสูงสุด คือ จิตสำนึกสูงสุด และ จีวะ ทั้งหลาย หรือ สิ่งมีชีวิตทั้งหลาย เป็นละอองเล็ก ๆ ของบุคลิกภาพแห่งพระเจ้า พวกเขาก็มีจิตสำนึกด้วยเช่นกัน สิ่งมีชีวิตสิ่งหนึ่งก็มีจิตสำนึกด้วยเช่นกัน สิ่งมีชีวิตได้อธิบายไว้แล้ว คือ พระคริทิ, พลังงาน, และ คือ ธรรมชาติวัตถุ ก็ได้อธิบายไว้แล้วเช่นกันว่า คือ พระคริทิ, แต่ในระหว่างสองสิ่ง, พระคริทิ หนึ่ง, จีวะ พวกเขาทั้งหลายมีจิตสำนึก อีก พระคริทิ หนึ่ง คือ ไม่มีจิตสำนึก นั่นคือความแตกต่าง เนื่องจาก จีวะ พระคริทิ ถูกเรียกว่าสูงกว่า เพราะว่า จีวะ มีจิตสำนึกคล้ายกับพระเจ้า พระเจ้าทรงมีจิตสำนึกสูงสุด คนคนหนึ่งไม่ควรอ้างว่าจีวะ หรือ สิ่งมีชีวิตมีจิตสำนึกสูงสุดเช่นเดียวกัน ไม่ สิ่งมีชีวิตไม่สามารถมีจิตสำนึกสูงสุดได้ ไม่ว่าจะมีความสมบูรณ์บริบูรณ์ในระดับใน นี่เป็นทฤษฎีที่นำไปในทางที่ผิด นี่เป็นพฤษฎีที่นำไปในทางที่ผิด แต่เขามีจิตสำนึก นั่นคือทั้งหมด แต่ว่าเขาไม่ได้มีจิตสำนึกสูงสุด